การรับประทานกล้วยเป็นมื้อเช้า เป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันมีการก่อตั้งชุมชนออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลความสำคัญของอาหารมื้อเช้า
และการปฏิบัติตนเพื่อลดความอ้วน โดยใช้กล้วยเป็นอาหารทดแทนอาหารหลัก
ซึ่งภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา นับตั้งแต่ก่อตั้งห้อง "กล้วยมื้อเช้า"
ก็มีสมาชิกที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คน
โดยชุมชนออนไลน์ MIXI ห้อง "กล้วยมื้อเช้า" มีผู้ริเริ่มชื่อ "ฮามาจิ" และเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาด้วย
ซึ่งผู้เขียนเองได้ใช้วิธีนี้ในการลดความอ้วนจนประสบความสำเร็จมาแล้ว
เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากภรรยาของเขา หลังจากที่ทดลองลดความอ้วนมาหลายรูปแบบ
โดยภรรยาของเขาเป็นเภสัชกรที่มีความรู้ด้านประโยชน์ของอาหารได้แนะนำให้เขาลอง "กินกล้วยเป็นมื้อเช้า"
สูตรไดเอ็ทของเขาง่ายมากๆ (แต่จะทำได้หรือเปล่า?) นั่นก็คือ...
กินกล้วยกี่ลูกก็ได้ตามใจอยาก
+
น้ำเปล่าในอุณหภูมิห้อง เป็นอาหารเช้าเท่านั้น!!
จากการศึกษาเวชศาสตร์ป้องกันร่วมกับภรรยาของเขา
ฮามาจิพบว่า การลดน้ำหนักสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหารในร่างกายของคนเรา คือ...
1. การกินผลไม้อย่างเดียว หรือน้ำเปล่า ทำให้กระเพาะได้พักผ่อน ช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของกระเพาะ ลำไส้ และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
2. หลังจากรับประทานผลไม้ไป 15-20 นาที ผลไม้จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ และเริ่มถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่ผักคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน จะใช้เวลาในการย่อยนานกว่า 3-4 ชั่วโมง
3. ส่วน “น้ำเปล่า” ที่ดื่มเข้าไป จะช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือด และของเหลวในร่างกายดีขึ้น ส่งผลดีต่อการขับของเสียออกจากร่างกายดีขึ้น
สารอาหารและคุณประโยชน์ที่ได้จากกล้วย ได้แก่ ...
1. มีวิตามินบี1 และบี 2 ซึ่งช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวมเนื่องจากการออกกำลังกายมาก และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า
2. มีเกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด (ผู้ป่วยโรคความดันเลือดต่ำก็สามารถใช้วิธีนี้ในการลดความอ้วนได้้) และช่วยการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใย (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยดิบมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. มีสารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่ ป้องกันโรคมะเร็ง
6. มีสารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการฟื้นฟูสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ย่อยได้ง่าย และทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และลดอาการอยากของหวานระหว่างวันได้ชะงักนัก
10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย
วิธีปฏิบัติแสนง่าย... แต่ต้องมีวินัยเคร่งครัด
1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด
2. หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว
3. ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือถ้าไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
4. การดื่มเฉพาะน้ำเปล่า ณ อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
5. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้เต็มที่ เพื่อลดการกินจุบกินจิบระหว่างวัน
6. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น และกินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย
7. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้
8. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น
9. พยายามอย่าเครียด ทำใจให้สบาย เพราะความเครียดทำให้เกิดไขมันสะสม
อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูง ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียน เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่าง วัน โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ
นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด